“ฟังชัด ๆ พูดเบา ๆ เราคือทีม”
สำหรับชีวิตการทำงาน 27 ปี การรับฟัง ของหัวหน้างาน ดูจะเป็นเรื่องที่กินใจ และสะเทือนใจที่สุด
จำได้ว่าตอนอยู่ที่ทำงานแห่งแรก ด้วยความที่ไม่เคยทำงานมาก่อนบวกกับปัญหาส่วนตัว ส่งผลให้มีอาการปวดท้อง และมันรุนแรงจนทนไม่ไหว ก็เลยขอหัวหน้าลากลับบ้าน
แต่สิ่งที่หัวหน้าทำคือ ให้คนขับรถไปส่งเราที่โรงพยาบาล พร้อมจ่ายค่ารักษาและกำชับคนขับให้ส่งเราจนถึงที่พักหลังออกจากโรงพยาบาล
ผลคือ แม้วันนี้ตัวป้าจะออกจากบริษัทนั้นมานานแล้ว ยังคงจดจำคำสอน และวิธีการทำงานของพี่เขาเอาไว้ และใช้เป็นบรรทัดฐานในการสอนงานรุ่นน้องๆ ต่อมา
อีกทั้งยังคิดเสมอว่า ตัวเองคือลูกน้องของพี่เขา และไม่เคยห่างการติดต่อ
สัก 2-3 ปี ที่แล้วได้ ตอนที่ชีวิตดูเหมือนจะตกต่ำสุด ๆ
จากเดิมที่เคยเป็นคนที่พูดอะไร เจ้านายก็รับฟัง จู่ ๆ เจ้านายก็ไม่ฟัง หรือปฏิเสธเกือบจะทุกครั้ง
ก็ยอมรับว่า งง แต่ก็คิดว่าความคิดของเรา หรือ ไอเดียของเราก็คงจะไม่ดีจริง ๆ ก็พยายามที่จะคิด ปรับปรุงและทำให้มันดีขึ้น ถึงขั้นยอมลงทุนจ่ายเงินส่วนตัวไปลงเรียนเพิ่ม เพื่อหวังเอาความรู้มาใช้ในงาน ก็จนได้มาเรียนวิชาโค้ชนี่ล่ะ
แต่ … ความตั้งใจทั้งหมดพังลง เมื่อเจ้านายพูดออกมาว่า “ทั้งหมดที่คุณพูดมา ผมไม่เชื่อเลย ผมได้ยินมาว่า คุณ …” ก็บราๆๆๆ บอกว่า ป้าเป็นแบบนั้น แบบนี้ ตามที่ได้ยินมา”
ป้าตัดสินใจที่จะหางานใหม่ในทันที
หัวหน้างานสองท่านนี้ ต่างกันอย่างไร ?
หัวหน้างานท่านที่หนึ่ง เขาเชื่อในตัวป้าในความซื่อสัตย์ของป้า ทั้ง ๆ ที่ทำงานด้วยกันไม่ถึง 4 เดือน
หรือหากเขาจะไม่เชื่อ เขาก็ไม่ได้พูดมันออกมา แต่กลับใช้การส่งไปโรงพยาบาลเป็นการพิสูจน์
เจ้านายคนที่สองทำงานด้วยกันมา 10 กว่าปี แต่ด้วยคำพูดประโยคเดียวทำลายความตั้งใจที่ป้าเคยมี และเติบโตมากับบริษัทอย่างยาวนาน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“การฟังที่ใคร ๆ ว่าสำคัญ ก็ยังต้องระวังความคิดที่มันจะออกมากับคำพูดหลังการฟัง”
รุ่งนภา สัตยารัฐ
โค้ขชีวิต และนักวางแผนการเงิน
เจ้าของ เพจป้าแว่นดอทคอม